วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

“ธรรมกายโมเดล” ส่งผลกระทบต่อคนทั้งแผ่นดิน

กรุณาส่งถึงคนทั้งประเทศด่วนที่สุด...
เพราะกรณี “ธรรมกายโมเดล” อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ ที่ทำให้คนทั้งประเทศถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชน !!!



นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป...

เรื่องของพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายไม่ใช่แค่เรื่องของคนรักหรือเกลียดวัดเท่านั้น เพราะถ้าล้มวัดได้ นั่นหมายถึงคนทั้งชาติจะถูกลิดรอนสิทธิ์มนุษยชนไปด้วยหรือไม่ ?

จากเมื่อวาน ผมถูกกระตุ้นความคิดอีกครั้งจากข้อความของ อั้ม อิราวัต อารีกิจ อดีตนักร้องค่าย RS



ผมก็เลยไปนั่งคุยกับนักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนคนหนึ่งเกี่ยวกับกรณีของพระธัมมชโย ทำให้ผมพบความผิดปกติหลายอย่างในขั้นตอนการดำเนินคดี ซึ่งผมขอเอามาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นกรณีศึกษา เพราะไม่ช้าก็เร็วผลกระทบของเรื่องนี้ อาจเกี่ยวข้องกับตัวคุณเข้าสักวัน !!!

ช่วงนี้จะเห็นว่ากระแสทางการเมืองเข้ามามีอิทธิพลสูงถึงขั้นลุกลามไปสู่สถาบันสงฆ์ จนเกิดการเดินเกมล้มสมเด็จช่วง วัดปากน้ำ ซึ่งถ้าสามารถทำให้ท่านไม่ได้เป็นสังฆราชสำเร็จ ผมว่า..ระบบความยุติธรรม ความเป็นประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนที่เราพึงได้รับ ก็แทบจะหายไปจากแผ่นดินนี้แล้วครับ เพราะหากล้มสมเด็จช่วง ซึ่งเป็นถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ แล้วยังล้มวัดพระธรรมกายได้อีก  พระรูปอื่นๆ ก็คงไม่เหลือแล้ว เพียงแค่รอเวลาว่า..พระรูปใด..กำลังจะเป็นรายต่อไปเท่านั้นเอง !!!

ก่อนที่ผมจะเฉลยว่า กรณีพระธัมมชโยนี้ จะทำให้เราจะถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชนอย่างไร ผมก็อยากให้ทำความเข้าใจกับกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนในรัฐธรรมนูญ มาตรา 4 กันก่อน ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ ต้องได้รับการคุ้มครอง

         ในกรณีของพระธัมมชโยนี้ ถือว่าท่านถูกละเมิดศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เต็มๆ (HUMAN RIGHTS) เพราะขณะที่ท่านกำลังป่วยหนัก กลับมีบางคนปฏิบัติกับท่านเหมือนท่านไม่ใช่คน คือ พยายามกดดันให้คนป่วยไปรับทราบข้อกล่าวหา ทั้งๆ ที่ก็เดินทางมาแจ้งที่วัดได้

     หากใครสักคนกำลังกระทำกับคนแก่ที่ป่วยหนักอย่างนี้ได้ แสดงว่า..คนนั้นไม่ได้มองว่าพระธัมมชโยเป็นมนุษย์ใช่หรือไม่ ? เพราะได้ปฏิบัติต่อบุคคลเหมือนสัตว์หรือสิ่งของ จุดนี้..ได้ชี้ให้เห็นว่าสิทธิมนุษยชนของพระธัมมชโยได้ถูกละเมิดแล้ว


นอกจากนี้ พระธัมมชโยยังถูกละเมิดความเสมอภาคในการใช้กฎหมาย ทั้งๆ ที่ทุกคนมีสิทธิ์ใช้กฎหมายในบรรทัดฐานเดียวกัน

ในเมื่อพระธัมมชโยป่วย ซึ่งปกติต้องได้รับสิทธิ์ของคนป่วยโดยชอบธรรม แต่กลับไปลิดรอนสิทธิ์ของท่าน  เพราะตามกฎหมายมาตรา 7/1 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อนุ 4 สรุปความว่า ผู้ต้องหามีสิทธิ์ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วย
          แต่กรณีนี้ พระธัมมชโยยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหาสักหน่อย เป็นแค่ผู้ถูกกล่าวหา แต่กลับไปลิดรอนสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลของท่าน แถมยังไปบังคับท่านให้ไปรักษายังโรงพยาบาลของรัฐ ทั้งๆ ที่กฎหมายเขาก็ไม่ได้ระบุหรือบังคับให้รักษาที่ไหนเลย อย่างนี้ ถือเป็นการละเมิดความเสมอภาคในการใช้กฎหมาย..ใช่หรือไม่ ???






















คือ ตามสิทธิมนุษยชนแล้ว เราจะปฏิบัติต่อคนป่วยเหมือนคนที่ไม่ป่วยไม่ได้ เช่น ถ้าพ่อแม่แก่ๆ หรือลูกเรากำลังป่วยหนัก อยู่ๆ โดนใครก็ไม่รู้จะมาลากให้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาเรื่องรับของโจร โดยกระทำกับเขาเหมือนคนแข็งแรงปกติ อย่างนี้..ก็ถือว่าเป็นการละเมิดความเสมอภาคในการใช้กฎหมายเช่นกัน

มาถึงตรงนี้ บางคนอาจสงสัยต่อว่า ถ้าเดินทางมารับทราบข้อหาไม่ได้ แล้วจะต้องทำอย่างไร กรณีอย่างนี้ เจ้าหน้าที่ต้องเดินทางมาแจ้งข้อหาเองที่บ้าน หรือโรงพยาบาล ซึ่งจะขยายความในลำดับต่อๆ ไป

จากกรณี “ธรรมกายโมเดล” ที่ท่านถูกลิดรอนสิทธิ์นี้ ต่อไปอาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ให้คนในประเทศ เพราะขนาดพระระดับนี้ที่มีคนสนับสนุนมากยังถูกละเมิดสิทธิ์ขนาดนี้ ต่อไปชาวบ้านหรือสามัญชนธรรมดาๆ ก็ไม่ต้องพูดถึง แล้วถ้าอีกหน่อยพ่อแม่หรือลูกคุณกำลังป่วยหนัก หากมีขบวนการยุติธรรมมาลากไปรับทราบข้อหา ก็คงต้องไปแล้วล่ะครับ เพราะกลายเป็นบรรทัดฐานไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแล้ว !!!

ดังนั้น “อย่าเอาความไม่รู้กฎหมายของประชาชน มาเป็นช่องว่าง ทำร้ายประชาชนผู้ไม่ผิด”


จะเห็นว่า “ธรรมกายโมเดล” จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ ซึ่งเราจะถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว จนมารู้ตัวอีกที ก็คือประเทศไทยกลายเป็น “เผด็จการ” ไปแล้วใช่หรือไม่ ??? อยากให้ลองศึกษาร่างรัฐธรรมนูญล่าสุดดู แล้วค่อยมาตอบก็ได้  ไม่รีบครับ !!!



มาถึงตรงนี้ ผมว่าหลายคนคงไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้กฎหมาย จึงทำให้ต้องตกเป็นเหยื่อในการถูกลิดรอนสิทธิ์หลายๆ อย่างไป ดังนั้นผมอยากให้ทุกคนลองสังเกตในสิ่งที่ผมจะอธิบายต่อไปนี้ โดยหยิบยกกรณีที่พระธัมมชโยเจอ เผื่อเราจะได้เอาไว้เทียบเคียงกับสิ่งที่ต้องเจอในอนาคตบ้าง
#การใช้กฎหมายต้องพิจารณาถึงหลักการได้สัดส่วนในการออกคำสั่ง 3 ข้อ คือ...

1) หลักแห่งความสัมฤทธิ์ผล

          ถ้า DSI มีจุดประสงค์เพื่อต้องการแจ้งข้อกล่าวหากับพระธัมมชโยจริงๆ อย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง ทำไมไม่มาแจ้งที่วัด เพราะตามกฎหมายนั้น การแจ้งข้อกล่าวหาจะแจ้งที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปแจ้งที่ DSI ซึ่งถ้า DSI ยอมมาแจ้งที่วัดแต่แรก ก็สัมฤทธิ์ผลง่ายรวดเร็วและเสร็จไปนานแล้ว

แต่การที่ DSI ไม่ยอมมาแจ้งข้อกล่าวหา ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่า พระธัมมชโยป่วยจริง เพราะ DSI เคยมาพบพระธัมมชโยที่วัดและเห็นอาการป่วยของท่านกับตาตัวเองเมื่อครั้งก่อน แล้วเป็นผู้แถลงกับผู้สื่อข่าวเองว่าท่านป่วยจริง




จากการกระทำตรงนี้เอง เท่ากับสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้สังคม อีกหน่อยใครป่วยปางตาย..ก็ต้องลากสังขารไป DSI งั้นหรือ ? ทั้งๆ ที่เขาก็มีกฎหมายให้สิทธิ์แก่คนป่วยแล้ว

ตรงจุดนี้เอง นักกฎหมายที่นั่งคุยกับผมเขาชี้จุดว่า “หากฝ่ายปกครองมีจุดมุ่งหมายในใจที่จะใช้มาตรการที่ออกมาเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานเพื่อให้เกิดผลอย่างอื่น นอกเหนือไปจากผลที่กฎหมายให้อำนาจแก่ฝ่ายปกครองประสงค์จะให้เกิดขึ้น ถือว่าเข้าข่ายการใช้อำนาจโดยมิชอบ

2) หลักแห่งความจำเป็น

สาระสำคัญหัวข้อนี้มีอยู่ว่า..ถ้ามีมาตรการอื่นที่มีผลกระทบน้อย และสามารถทำให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้นได้ ก็ให้ใช้มาตรการนั้น

ตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่า กรณีที่พระธัมมชโยป่วย ไม่สามารถไปรับแจ้งข้อกล่าวหาได้ แถมทางวัดก็เชิญ DSI แบบเชิญแล้วเชิญอีก

ขอถามว่า..ทำไม DSI ไม่ใช้มาตรการที่มีผลกระทบต่อสิทธิ์น้อยกว่าการออกหมายเรียก คือ แค่มาวัด ก็จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์หลักที่ต้องการมาแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ทำไมถึงเลือกมาตรการที่มีผลกระทบต่อสิทธิ์มาก โดยไปบังคับให้คนป่วยแก่ๆ ที่หมอห้ามเดินทางทรมานสังขารไปหา


ตรงจุดนี้ขอถามว่า DSI ต้องการให้พระธัมมชโยออกไปให้ได้เท่านั้นใช่หรือไม่ ? และถ้าพระธัมมชโยลากสังขารออกไปไม่ไหว ก็จะเป็นข่าวเพื่อให้เป็นมลทินใช่หรือไม่ ? และที่สำคัญ DSI ต้องการจะยื้อ เพราะต้องการออกหมายจับ เพื่อให้ดูเป็นอาชญากรแผ่นดินใช่หรือไม่ ? แล้วถ้า DSI จับได้ก็จะจัดการสึก เพื่อรวบรัดให้จบเร็วที่สุดใช่หรือไม่ ? แล้วเมื่อจับสึกได้ ก็เท่ากับล้มวัดพระธรรมกายได้แบบง่ายๆ โดยเสียต้นทุนน้อยที่สุดใช่หรือไม่ ???
      DSI กำลังอาศัยความไม่รู้กฎหมายของประชาชน ทำให้ประชาชน หลงเชื่อว่าพระธัมมชโยผิดใช่หรือไม่ ?

เพราะแม้ศาลจะจะยกฟ้องพระธัมมชโยในอนาคต แต่ก็ไม่อาจทำให้สิ่งที่เสียหายไปแล้วกลับคืนมาได้อยู่ดี ตรงนี้ขอถามว่า ใครจะรับผิดชอบครับ ? สิ่งนี้ใช่เจตนาที่แท้จริงของ DSI ใช่ไหมครับ ???
         ทำไม..ต้องทำกับพระแก่ๆ ที่ป่วย และไม่คิดหนี เหมือนท่านไปฆ่าคนทั้งแผ่นดินมาล่ะครับ ?

3.หลักการได้สัดส่วนในความหมายอย่างแคบ

หลักข้อนี้มีอยู่ว่า หากรัฐมีนโยบายในการดำเนินงานใดๆ  ที่ส่งผลต่อการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนแล้ว รัฐจะต้องพิจารณาถึงความสมดุลระหว่างประโยชน์ที่ได้รับกับความเสียหายของเอกชนด้วย

จากหลักตรงนี้เอง การที่ DSI พยายามกดดันให้พระธัมมชโยออกไปรับทราบข้อกล่าวหาให้ได้นั้น  ถ้าพระธัมมชโยเป็นแค่คนธรรมดาๆ ก็จะไม่มีผลกระทบต่อมวลชนมากนัก แต่ความเป็นจริงแล้ว ท่านเป็นถึงผู้นำองค์กรทางพระพุทธศาสนาที่มีคนจำนวนมหาศาลศรัทธาอยู่ทั่วโลกจำนวนหลายแสน

ดังนั้นการที่ DSI กระทำเช่นนี้ นอกจากเป็นการละเมิดสิทธิ์ของพระธัมมชโยแล้ว ยังเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ และทำร้ายจิตใจมวลชนจำนวนมหาศาลด้วยใช่หรือไม่ ???

อีกทั้งการออกมาตรการดังกล่าว หากทำได้ก็จะเกิดบรรทัดฐานในการใช้อำนาจละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมหาชนเลย

จากกรณีศึกษา “ธรรมมกายโมเดล” นี้ หากจับพระธัมมชโยเข้าคุกได้ บรรทัดฐานของสังคมไทยเราจะถึงจุดเปลี่ยนในทันที

          และด้วยเหตุนี้เอง การที่คนจำนวนมหาศาลมาวัดพระธรรมกายในช่วงนี้  ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกคนมารวมกันเพื่อ “ปกป้องสิทธิมนุษยชน” ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อตัวเอง มาปกป้องสิทธิ์ของตัวเองในอนาคต เพราะถ้าทำกับพระธัมมชโยได้ ทำกับสมเด็จช่วง วัดปากน้ำได้ อีกหน่อยคนธรรมดาๆ อย่างเราก็คงจะไม่เหลือ และเราก็ไม่อยากให้ “คุณ” และ “ลูกหลานของเราในอนาคต” โดนละเมิดสิทธิเป็นรายต่อไป...
ดังนั้น ณ จุดนี้ ควรหรือไม่ ที่เราจะออกมาปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทั้งประเทศด้วยกันครับ


วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายนำเรื่องราวของ สตีฟ จอบส์ มาเล่า เพราะต้องการโหนกระแสให้ดังรึเปล่า ?


 
🌏 การที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายนำเรื่องราวของ สตีฟ จอบส์ มาเล่า    เพราะต้องการโหนกระแสให้ตัวเองดังรึเปล่า ? และคิดยังไงถึงเอาเรื่อง สตีฟ จอบส์ มาเล่าจนเป็นประเด็นขนาดนี้ ?

จากคำถามนี้ อยากเรียนถามกลับว่า ณ เวลานี้ มีใครไม่รูจักเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายบ้าง แม้ท่านไม่พูดเรื่อง สตีฟ จอบส์ ปัจจุบันท่านก็ดังมากพออยู่แล้ว แถมดังในระดับที่คนค่อนโลกในหลายประเทศรู้จักวัดพระธรรมกาย รู้จักท่านหมดในนามของผู้นำการปฏิบัติสมาธิเพื่อสันติภาพโลก จนได้รับรางวัลจาก 40 ประเทศ 97 รางวัลเลยทีเดียว

จากผลงานของท่านตรงนี้ จะเห็นว่า ท่านสามารถดังได้ด้วยตัวเอง โดยไม่เห็นต้องโหนกระเเสสตีฟ จอบส์ เพื่อให้ดังเลย ดังนั้น..ประเด็นโหนกระแสนี่ ถือว่าตกไปครับท่าน

ทีนี้ก็มาถึงประเด็นที่ว่า..ทำไมเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายถึงเอาเรื่องนี้มาเล่าล่ะ?

แต่เดิมเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตในปรโลกของ สตีฟ  จอบส์ เลย    แต่ด้วยความที่มีบุคคลท่านหนึ่ง (ไม่ขอเอ่ยนามแต่ทางวัดมีเอกสารยืนยันตัวตนของบุคคลท่านนี้)  ซึ่งเป็นวิศวกรอาวุโสของบริษัท Apple ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับสตีฟ คนหนึ่ง    เขาได้ส่งจดหมายและดั้นด้นเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถามเรื่องราวเกี่ยวกับ สตีฟ  จอบส์ กับหลวงพ่อด้วยตัวเองโดยตรง    และเมื่อหลวงพ่อเห็นถึงความตั้งใจของบุคคลท่านนี้  กอปรกับตัวท่านมองเห็นประโยชน์ว่าเรื่องนี้   น่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการศึกษาเรียนรู้เรื่องกฎแห่งกรรมให้ใครอีกหลายคน   ท่านก็เลยตัดสินใจนำเรื่องราวในปรโลกของ สตีฟ  จอบส์ มาเล่าออกอากาศทางช่อง DMC    ก็เท่านั้นเอง...

ถามจริงๆ เถอะ...จะดีไหม..หากสมมุติว่าเราเป็นแฟนพันธุ์แท้ หรือมี สตีฟ จอบส์ เป็นไอดอล ก็ถือเป็นเรื่องปกติของแฟนคลับนะ ที่เราจะอยากรู้ว่า สตีฟ จอบส์ ทำบุญทำกรรมอะไรมา ถึงได้ดังมีชื่อเสียง และมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ แล้วแถมยังอยากรู้ต่อด้วยว่า..คนที่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน  เพื่อเราจะได้ทำตามสิ่งที่ดีที่ สตีฟ จอบส์ ทำบ้าง และอะไรที่ไม่ดีก็ไม่ทำ

ซึ่งผู้เขียนคิดว่า..หากเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายท่านสามารถไปรู้ไปเห็นเรื่องราวเหล่านี้ได้จริงๆ แล้วเอามาบอกเล่า ก็เป็นประโยชน์ดีนะ ไม่เห็นจะเป็นโทษตรงไหนเลยกับการที่จะเอาเรื่องของ สตีฟ จอบส์ มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเหตุแห่งการประสบความสำเร็จให้ชีวิตเราบ้าง...

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากวิชาการ

เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายอวดอุตริฯหรือไม่ ในกรณีที่มาบอกว่า สตีฟ จอบส์ หรือคนนั้น คนนี้ ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ?


🌏 เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายอวดอุตริฯ หรือไม่ ในกรณีที่มาบอกว่า สตีฟ จอบส์ หรือคนนั้น คนนี้ ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ชาติที่เเล้วเป็นอะไร หรือไปทำกรรมอะไรมา ?

หากผู้อ่านเกลียดวัดพระธรรมกายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มาอ่านจั่วหัวเรื่องนี้ ก็คงมีคำตอบในใจอยู่แล้วว่า "เจ้าอาวาสวัดนี้ อวดอุตริฯจริง" ซึ่งไหนๆ ก็คิดว่าจริงแล้ว ก็อยากให้อ่านต่ออีกนิด โดยผู้เขียนก็ไม่ได้หวังจะให้ผู้อ่านเปลี่ยนใจอะไรหรอก แต่อยากให้ผู้อ่านมีข้อมูลอีกด้านว่า เจ้าอาวาสท่านอวดอุตริฯ จริงๆหรือเป็นเพราะเราหลงเชื่อตามๆ กันมาโดยที่ไม่ได้ศึกษาจริงจังกันแน่

         แล้วอีกอย่างก่อนจะกล่าวหาหรือหลงเชื่ออะไรใคร ปกติของผู้มีปัญญา เขาจะทำความเข้าใจศึกษาข้อมูลในสิ่งนั้นอย่างถ่องแท้เสียก่อน แล้วจึงค่อยเชื่อ!!!

ดังนั้น ก่อนจะกล่าวหาว่า เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายว่า..อวดอุตริฯ หรือ make เรื่องมั่วๆ มาหลอกคน ก็อยากจะถามผู้อ่านว่าเข้าใจคำว่า "อวดอุตริมนุสธรรม" มากแค่ไหน ? คำนี้หมายถึงอะไร ? มีความหมายครอบคลุมแค่ไหน ?

คำว่า "อวดอุตริมนุสธรรม" พูดง่ายๆ ก็คือ การกระทำของพระที่อวดอ้างคุณความดีหรือคุณวิเศษของตน ถ้าตัวท่านมีคุณวิเศษอย่างนั้นจริงๆ ก็ถือเป็นอาบัติเบาที่เรียกว่า "อาบัติปาจิตตีย์"  แต่ถ้าท่านไม่มีคุณวิเศษอย่างนั้นจริงๆ  ก็เป็นอาบัติหนักถึงขั้น "ปาราชิก"

เหมือนคนเอาทรัพย์สมบัติมาอวดว่าตัวเองมั่งมี ถ้าเป็นของตัวเองจริง คนอื่นที่เห็นก็อาจหมั่นไส้ แต่ถ้าสมบัติที่เอามาโอ้อวดนั้นไม่ใช่ของตัวเอง อันนี้แหละเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอาจไปขโมยหรือปล้นเขามา อย่างนี้ตำรวจก็จะจับ
         แต่ถ้าพระผู้มีคุณวิเศษนั้นจริงๆ แล้วใช้คุณวิเศษ เช่น ใช้ความทรงอภิญญามาเทศน์สอน เพื่อประโยชน์แห่งการพ้นทุกข์ของญาติโยม โดยมิได้มีเจตนาเพื่อโอ้อวดตนเลย ก็ไม่ถือว่าอวดอุตริฯ  เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมโดยการระลึกชาติแล้วเอามาสอน  อีกทั้งยังตรัสว่า คนนั้น คนนี้ ตายแล้วไปไหน อดีตชาติทำกรรมอะไรมา จะต้องแก้ไขปรับปรุงตัวอย่างไร ซึ่งอย่างนี้ถือว่าไม่เป็นการอวดอุตริฯ แต่อย่างใด !!!

หรือกรณีของพระโมคคัลลานะที่เหาะไปดูวิมานบนสวรรค์แล้วเอามาทูลถามพระพุทธเจ้า ก็ไม่ถือว่าอวดอุตริฯ เช่นกัน

หรืออย่างในยุคใกล้ๆ นี้ เช่น หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่ท่านใช้สิ่งที่ได้จากการทำสมาธิขั้นสูง อธิบายนรกสวรรค์ และช่วยมนุษย์ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือเอาบุญไปช่วยมนุษย์ที่ตายไปแล้ว  ก็ไม่ถือเป็นการอวดอุตริฯ เช่นกัน



มาถึงกรณีของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย หากคุณลองปลอมตัวเข้ามาเป็นสาวกวัดนี้ คุณจะพบว่า ท่านไม่เคยพูดโอ้อวดตัวถึงความทรงอภิญญาใดๆ ของท่านเลย แถมเวลาจะเทศน์สอนยังพูดทุกครั้งแถมย้ำว่า หลับตา ฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาวหนึ่งที   แล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรา...ให้พอเป็นความรู้ติดแข้งติดขา   ถ้าจะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร

แถมไม่เคยมีสักครั้งที่ท่านจะกล่าวอ้างตัวเองว่า ท่านนั่งสมาธิไปดูด้วยตัวเอง    หรือใช้ญาณทัสสนะของท่านไประลึกชาติ   เพื่อดูเรื่องราวในอดีตหรือดูการไปเกิดมาเกิดของใคร    เพราะฉะนั้น การเล่าเรื่องในลักษณะนี้   จึงไม่ใช่การอวดอุตริมนุสธรรม  แต่ท่านมีจุดประสงค์มุ่งเน้นสอนคนให้รู้และเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม  

จากพฤติกรรมของท่านจะเห็นว่า นอกจากไม่อวดอุตริฯ แล้ว  ต้องบอกว่า ท่านยังถ่อมตัวด้วยซ้ำ เพราะลองคิดดูเถอะ  หากคนๆ หนึ่ง ตั้งแต่อายุ 19 ปี ก็นั่งสมาธิทั้งวี่ทั้งวันกับแม่ชีผู้สำเร็จวิชชาที่เป็นศิษย์เอกของหลวงปู่วัดปากน้ำมาตลอด (คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง)  และพอเรียนจบปริญญาตรี ก็บวช และนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้านับเวลาถึงตอนนี้ก็นั่งสมาธิมายาวนานถึง 54 ปี โดยไม่ขาดแม้แต่เพียงวันเดียว แถมนั่งที..ก็ไม่ใช่นั่งแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง เพราะปกติท่านนั่งครึ่งค่อนวันหรือทั้งวัน




      ตรงจุดนี้ อยากให้ทำใจเป็นกลางๆ แล้วลองคิดดูเถอะว่า ท่านนั่งสมาธิเยอะขนาดนี้ จะไม่บรรลุธรรมะอะไรบ้างเลยรึ ?  และที่มากไปกว่านั้นท่านยังอ่านพระไตรปิฎกจนหมด สวดปาฏิโมกข์ได้ทั้งแบบสวดไปและสวดย้อนกลับอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ดูหนังสือเลย ซึ่งพระอย่างนี้จะไม่มีคุณวิเศษอันใดเลยรึ ? 


แต่แม้จะเล่าความจริงขนาดนี้ คนที่เกลียดวัดพระธรรมกายก็คงไม่เชื่ออยู่ดี แต่ไหนๆ ก็อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้แล้ว ก็อยากให้อ่านต่ออีกนิด เพราะกำลังเคลียร์ประเด็นที่สงสัยกันมาก คือ เรื่องชีวิตหลังความตาย เรื่องการระลึกชาติ เรื่องตายแล้วไปไหน ?

อันที่จริงแล้ว..เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เหลือวิสัยของเหล่าผู้มีรู้มีญาณที่ทรงอภิญญา    หรือผู้ที่บรรลุวิชชา 3 ที่สามารถกำหนดรู้ในการจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายอันเป็นไปตามกรรมด้วยการใช้ จุตูปปาตญาณ

อีกทั้งจากประวัติและเรื่องราวที่มีบันทึกของพระสายกรรมฐาน  พระวิปัสสนาจารย์   หรือบรรดาพระเกจิผู้มีรู้มีญาณชื่อดังในยุคปัจจุบันหลายๆ รูปท่านก็สามารถระลึกชาติ และล่วงรู้การไปเกิดมาเกิดของสัตว์ทั้งหลายได้ เช่น  หลวงปู่ชอบ  หลวงปู่บุดดา  ฯลฯ  





โดยเฉพาะหลักฐานในพระไตรปิฎก ก็ระบุไว้ชัดหลายเเห่ง เช่น นางวิสาขา ละสังขารจากโลกมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นมเหสีของผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนิมมานรดี (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 26 ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ-เถร-เถรีคาถา)   http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=1507&Z=1579



หรือ โตเทยยพราหมณ์ ตายแล้วไปเกิดเป็นสุนัขในบ้านตนเอง (พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่มที่ 13  มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก)http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=579





เพียงแต่เรื่องราวเหล่านี้   อาจเป็นเรื่องเหลือวิสัยของปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปที่จะตรองตามด้วยการฟังและการอ่านให้เข้าใจได้    เพราะสิ่งเหล่านี้จะต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติเท่านั้นจึงจะรู้แจ้งเห็นจริงได้ด้วยตนเอง โดยนั่งสมาธิจริงจังอย่างถูกวิธี    จนสามารถไปรู้ไปเห็นเรื่องราวเหล่านี้เหมือนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา  

 เพราะฉะนั้น การที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้นำเรื่องราวชีวิตหลังความตายของสตีฟ จอบส์ มาเล่า ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ ซึ่งก็สุดแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน   เราคงไม่สามารถไปห้ามความคิดของใครได้   เพราะตราบใดที่เรายังไม่เคยคิดที่จะพิสูจน์จริงๆ ด้วยการลงมือปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเองก็คงยากที่จะเข้าใจ แล้วก็มานั่งเถียงกันอยู่ร่ำไป

ดังนั้น หากอยากรู้ว่า สตีฟ จอบส์ ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน เราควรจะพิสูจน์สิ่งนี้ด้วยตัวเองดีกว่า คือ ลองนั่งสมาธิจนได้อภิญญาญาณ แล้วก็นั่งไปดูสิว่า..จะเหมือนกับที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายท่านเล่าไหม แล้วค่อยมาคุยกันต่อดีกว่า


อ่านภาค 2 เรื่อง 🌏 การที่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายนำเรื่องราวของ สตีฟ จอบส์ มาเล่า    เพราะต้องการโหนกระแสให้ดังรึเปล่า ? และคิดยังไงถึงเอาเรื่อง สตีฟ จอบส์ มาเล่าจนเป็นประเด็นขนาดนี้ ?  อ่านในบทถัดไป


🌐คลิกเลย http://hot-answer.blogspot.com/2016/05/blog-post_71.html

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากวิชาการ
 

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

คำว่า “ดุสิตบุรี” มีในพระไตรปิฎกหรือไม่ ?


 
คำว่า ดุสิตบุรี มีในพระไตรปิฎกหรือไม่ ? หรือพวกวัดพระธรรมกายบัญญัติขึ้นมาล่อชวนคนทำบุญ เพื่อให้อยากขึ้นสวรรค์ ???
คำว่า ดุสิตบุรี ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พวกคนไม่ชอบวัดพระธรรมกายในโลกโซเชียลนำไปตีประเด็นล้อเลียน แถมเหน็บแนมว่า คำนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก”  ซ้ำยังค่อนขอดว่า ดุสิตบุรีเป็นชื่อหมู่บ้านจัดสรรของชาวธรรมกาย” !!!

หากอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ก็อยากให้ลองเปิดใจกว้างๆ ดูว่า เราเป็นคนหนึ่งคล้อยตามกับสิ่งที่ฟังเขาเม้าท์ หรือเม้นท์มาแบบมั่วๆ รึเปล่า ? และที่สำคัญในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เคยหยิบพระไตรปิฎกมาอ่านหรือเปิดดูบ้างไหมว่าคำว่า "ดุสิตบุรี" มีจริงหรือไม่ ?

มาถึงจุดๆนี้ ก็อยากให้ลองดูในบรรทัดถัดๆ ไปว่า  เรากำลังปล่อยให้คนในโลกโซเชียลหลอกเรา หรือโดนวัดพระธรรมกายหลอกกันแน่ มาดูเฉลยข้างล่าง?

ที่จริงแล้ว คำว่า ดุสิตบุรีหมายถึง สวรรค์ชั้นที่ 4 หรือสวรรค์ชั้นดุสิตซึ่งเป็นที่ประทับของเหล่าพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายรวมถึงเหล่าว่าที่พระอัครสาวกทั้งปวง  

อีกทั้งคำว่า “ดุสิตบุรี” ยังมีปรากฏอย่างชัดเจนในคัมภีร์พระพุทธศาสนาอยู่หลายแห่ง  เช่น  ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏฯ เล่ม 14 หน้า 42-43 ทีฆนิกาย มหาวรรค อรรถกถามหาโควินทสูตร ที่มีปรากฏดังนี้ 

“..แม้ในอัตภาพถัดจากอัตภาพเป็นพระเวสสันดรนั้น   เสด็จดำรงอยู่ใน ดุสิตบุรีตลอดพระชนมายุ ก็ชื่อว่าทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก   พระองค์ทรงเห็นบุพนิมิต 5 อย่างใน ดุสิตบุรีนั้น แล้วทรงจุติจาก ดุสิตบุรี… ”

นอกจากนี้ ยังมีปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏฯ เล่ม 32 หน้า 247 อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต อรรถกถาสูตรที่ 1 ดังนี้

“ .. สมัยนั้นพระโพธิสัตว์พระนามว่า วิปัสสี จุติจาก ดุสิตบุรีบังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี ... 

จากตัวอย่างของคำว่า ดุสิตบุรีที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกที่ยกมาให้ดูนี้    ก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งจากที่มีปรากฏอยู่หลายๆ แห่งเท่านั้น   ถ้าใครต้องการค้นหาคำนี้เพิ่มเติมด้วยตัวเองก็สามารถไปค้นคว้าในพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลได้   


 
 
 
เพราะฉะนั้นคำว่า ดุสิตบุรีจึงไม่ใช่คำที่ทางวัดพระธรรมกายบัญญัติขึ้นมาใหม่เหมือนอย่างที่ใครหลายๆ คนเข้าใจ   แต่เป็นคำเรียก สวรรค์ชั้นดุสิตที่ใช้ตามพระอรรถกถาจารย์เพื่อให้จดจำกันง่ายๆ ก็เท่านั้น

ฉะนั้นเวลาจะด่าว่า โพสต์ เม้นท์ หรือหลงเชื่ออะไร ก็อยากให้ลองเปิดอ่านพระไตรปิฎกก่อน เพราะหากเราเอามัน คะนองปากอยากด่าวัดพระธรรมกาย เราอาจบาปหนักเพราะพลาดไปด่าว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผลกรรมอันนี้ ต่อไปเราจะกลายเป็นผู้ไร้ดวงปัญญา เกิดในตระกูลต่ำ ตกนรกหมกไหม้อย่างแสนสาหัสเลยทีเดียว
ขอขอบคุณข้อมูลจากวิชาการ