วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

“การด่าพระ”เป็นขบวนการช่วยศาสนา หรือเป็นขบวนการทำลายศาสนากันแน่ ?

     
       “การด่าพระ”เป็นขบวนการช่วยศาสนา หรือเป็นขบวนการทำลายศาสนากันแน่ ?

ตรงนี้ ผู้เขียนขอตอบว่า..การด่าพระออกสื่อ หรือโพสต์ว่าพระในโลกโซเชียลบ่อย ๆ เป็นการสร้างกระแสตอกย้ำให้คนส่วนใหญ่ให้เข้าใจผิดว่าพระส่วนใหญ่ไม่ดี ทั้ง ๆ ที่หากเทียบอัตราส่วนกับพระดีทั่วประเทศกว่าสามแสนรูปแล้วพบว่ามีพระที่ไม่ดีจริง ๆ ไม่ถึง ๑ % เท่านั้น

แล้วอีกอย่างด้วยความที่คนสมัยนี้ ต้องยุ่งวุ่นวายกับการทำมาหากินจนแทบไม่มีเวลา ทำให้เวลาอ่านข่าว..จึงอ่านแบบผ่านๆ แถมบางทีดูแต่พาดหัวที่พาดเอามันเพื่อให้ขายข่าวได้ โดยไม่ได้ไปศึกษาข้อมูลจริงที่ลึกไปกว่านั้น ก็เลยทำให้เข้าใจผิดไปเลยว่า..พระรูปนั้นรูปนี้ไม่ดีจริงๆ

ซ้ำร้ายยังอ่านข้อมูลด้านเดียวทุกวัน โดยไม่มีโอกาสรับข้อมูลอีกด้าน ก็เลยยิ่งเชื่ออย่างสนิทใจว่า พระรูปนั้นไม่ดีจริงๆ โดยไม่ได้พิสูจน์ 

ตรงจุดนี้เอง ถือเป็นความวิบัติที่นำหายนะมาสู่ผู้เสพข่าวอย่างไม่รู้ตัว แล้วสุดท้ายก็หลงสร้างกรรมหนักโดยไปด่าพระกับเขาด้วย จนทำให้ลืมคิดไปว่า การด่าพระ นอกจากจะทำให้คนหมดศรัทธาในพระสงฆ์โดยรวมแล้ว ยังมีอิทธิพลทำให้พฤติกรรมของคนในสังคมเปลี่ยนไป ซึ่งตรงนี้ ผู้เขียนมีประสบการณ์ตรง เพราะมีเพื่อนมาบอกว่า ตอนนี้..เลิกตักบาตร เลิกทำบุญ เลิกไปวัดแล้ว อีกทั้งบางคนยังเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น เนื่องจากเห็นมีแต่ข่าวพระไม่ดี ทั้ง ๆ ที่พระส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

จะเห็นว่าปัจจุบันสื่อที่ทำลายพระพุทธศาสนามีอิทธิพลสูงมากถึงขนาดทำให้ชาวพุทธเกิดความระแวง มุ่งจับผิดพระเวลาไปวัด จนลืมไปว่าตนมาวัดเพื่อมากำจัดกิเลสในตัวเอง

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะทำให้คนเข้าวัดปฏิบัติธรรมลดลงเรื่อย ๆ และเมื่อคนไม่เข้าวัด ก็ไม่มีใครมาบำรุงวัด บำรุงพระ ก็ก่อให้เกิดปัญหาการลาสิกขาตามมาจนเกิดวัดร้างขึ้นมากมาย ซึ่งปัจจุบันก็มีวัดร้างเกือบ ๖ พันกว่าวัดแล้ว และที่เลวร้ายไปกว่านั้น หากคนไม่เข้าวัดศึกษาธรรมะ ก็จะมีผลทำให้ศีลธรรมเสื่อมทรามจนสุดท้ายเราจะอยู่บนโลกนี้ได้ยากเอง เพราะผู้คนต่างเบียดเบียนกัน แถมยังก่อกรรมทำเข็นโดยไม่ละอายและเกรงกลัวต่อบาป

จะเห็นว่า การด่าพระ การตัดต่อภาพพระ เป็นการทำให้ศาสนาเสื่อมโดยตรง เป็นการกระทำที่มีผลมาก เพราะทำให้อายุพระพุทธศาสนาสั้นลง โดยที่ผู้ด่าเข้าใจผิดคิดไปเองว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งถ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริง ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงห้ามไม่ให้ว่าร้ายผู้อื่นทำไม (อนูปวาโท)

ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นคนพุทธที่อยากช่วยพระพุทธศาสนาอย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ เราควรออกข่าวส่งเสริมพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากๆ เผยแพร่โพสต์ภาพวัดวาอารามตลอดจนเผยแพร่คำสอนของพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่เราเคารพ เพื่อให้คนศรัทธาอยากเข้าวัดปฏิบัติธรรมกำจัดกิเลสในตัวให้หมดไป และเมื่อเป็นเช่นนี้ พระพุทธศาสนาก็จะเจริญขึ้น จนกระแสศีลธรรมบนโลกใบนี้กลับคืนมา

ฉะนั้น...เราอย่าเป็นผู้หนึ่งที่ทำลายพระพุทธศาสนาโดยรวมเลย

และอย่าเป็นผู้หนึ่ง ที่ทำให้ศาสนาเสื่อมโดยไม่รู้ตัว

อีกทั้งก็อย่าเป็นผู้หนึ่ง ที่ทำให้อายุพระพุทธศาสนาสั้นลงไปอีก

เพราะบาปกรรมตรงนี้ จะนำหายนะมาสู่ชีวิตทุกรูปแบบ

จนเรารับมันไว้ไม่ไหวเลยทีเดียว...

วิบากกรรมออนไลน์




       กรุณาส่งข้อมูลนี้..ถึงคนชอบด่าพระ!!!

       ไม่ใช่จะบังคับให้เค้าเลิกด่าหรอกครับ
       แต่เป็นเพราะ"รัก"จึงอยากให้รู้
       ก่อนจะหมดโอกาสรับรู้ถึงหายนะของมัน !!!

       ในยุคปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า..การด่าว่าพระภิกษุสงฆ์ เป็นสิ่งไม่ผิด ซ้ำร้ายยังคิดว่า..เป็นการช่วยพระพุทธศาสนาอีกด้วย เพราะเท่ากับเป็นการกำจัดพระไม่ดีให้หมดไป !!!

ก่อนจะปักใจดิ่งทำตามความคิดข้างบน ผู้เขียนก็อยากจะเล่าเรื่องวิบากกรรมเก่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฟังเสียก่อน เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจอะไรใหม่ เพราะการทำบาปโดยไม่รู้ว่าบาป ย่อมส่งผลรุนแรงมากกว่าการรู้แล้วทำ เสมือนการไม่รู้ว่าก้อนถ่านไฟนั้นร้อน แล้วรีบคว้าจับเต็มมือย่อมร้อนมากกว่าการรู้ว่าร้อนแล้วจับ เพราะถ้ารู้ว่าร้อน เราก็จะจับมันอย่างระมัดระวัง !!!

จาก อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค และ อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน เมฆิยวรรคที่ ๔ สุนทรีสูตร ทำให้เข้าใจกระจ่างชัดว่า แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะหมดกิเลสแล้ว ก็ยังต้องรับกรรมที่เคยทำมาในอดีต อย่างในเรื่องที่ท่านถูกใส่ร้าย ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง เป็นเพราะวิบากกรรมเก่าครั้งที่พระพุทธองค์เคยเสวยพระชาติเป็นนักเลงชื่อว่า “มุนาฬิ”

ในวันหนึ่ง “มุนาฬิ” ได้ไปเที่ยวป่ากับเพื่อนๆ แล้วเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า “สุรภิ” ซึ่งเป็นผู้มีฤทธานุภาพมาก แต่แทนที่จะเกิดความเลื่อมใส กลับรู้สึกว่าท่านเอาแต่นั่งเฉยๆ ไม่ได้กล่าวสอนใคร มีแต่จะรอรับอาหารจากชาวบ้าน จึงได้ด่าพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า ท่านเป็นพระทุศีล ห่มจีวรหลอกชาวบ้าน ไม่ยอมทำมาหากิน มัวแต่เที่ยวเดินขออาหารจากชาวบ้าน โดยไม่มีความละอายแก่ใจ

ด้วยกรรมนี้ ทำให้ “มุนาฬิ” ตกนรกหมกไหม้ทนทุกข์ทรมานหลายพันปีนรก จนมาในภพชาติสุดท้าย แม้พระองค์จะตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ตาม ก็ยังหนีกรรมนั้นไม่พ้น ทำให้พวกเดียรถีย์อิจฉาริษยาคิดหาอุบายวางแผนใส่ร้าย โดยส่งปริพาชิกาที่ชื่อ “สุนทรี” เดินเข้าเดินออกในวัดพระเชตวันอยู่ ๒-๓ วัน ทำทีว่าไปพักอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากนั้นเดียรถีย์จึงจ้างโจรให้ไปฆ่านาง แล้วนำศพโยนทิ้งไว้หลังพระคันธกุฎี จากนั้นก็ทำแผนชั่วใส่ความว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนฆ่านาง ทำให้มีคนคนหลงเชื่อมากมาย แล้วพากันด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยคำหยาบคาย

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น พระองค์ยังเคยถูก “นางจิญจมาณวิกา” กล่าวตู่ว่าได้นอนในพระคันธกุฎีร่วมกับพระพุทธองค์จนนางตั้งครรภ์ ทำให้ชาวบ้านบางส่วนหลงเชื่อ ที่เป็นเช่นนี้เพราะภพในอดีต พระองค์เคยกล่าวตู่พระอรหันต์องค์หนึ่งที่ชื่อ “นันทะ” ด้วยบาปกรรมนี้ ท่านจึงต้องตกนรกเสวยทุกข์ทรมานเป็นเวลายาวนานถึงหนึ่งหมื่นปีนรก จนเมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ยังถูกกล่าวตู่มากมาย แม้ภพชาติที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว กรรมก็ยังตามส่งให้พระองค์ถูกนางจิญจมาณวิกากล่าวตู่ด้วยถ้อยคำที่ไม่เป็นจริงต่อหน้าสาธารณชน


จะเห็นว่า..แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งหมดกิเลสเป็นผู้บริสุทธิ์ขนาดนี้ ก็ยังมีคนด่าว่าใส่ร้ายถึงเพียงนี้ แต่ที่น่าตกใจเป็นที่สุด ก็คือ กลับมีคนจำนวนมากมายหลงเชื่ออีกด้วย !!!

มาในยุคนี้ก็เช่นกัน ขนาด สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ซึ่งเป็นถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นถึงพระระดับสูงสุดก็ยังโดนด่าว่าใส่ร้ายป้ายสี ตลอดจนพระรูปอื่นๆ หรือแม้แต่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย (พระธัมมชโย) ก็ยังโดนด่า โดนตัดต่อภาพ โดนทำเฟสบุ๊คปลอม ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยเล่นเฟสบุ๊คเลย ซ้ำร้ายยังส่งข้อมูลเท็จใส่ร้ายท่านในโลกไซเบอร์ โดยที่ยังไม่รู้จริงเลยว่าท่านเป็นอย่างไร

ตรงนี้ก็อยากให้ระวังมากๆ เพราะกรรมที่ทำกับพระที่ท่านไม่ได้ประทุษร้ายตอบมีผลมากกว่าที่คาดคิดไว้เยอะ ดังคำที่ปรากฏใน อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ทัณฑวรรคที่ ๑๐ สรุปความว่า...

ผู้ประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้ายตอบจะได้รับความหายนะ ๑๐ อย่าง คือ...

๑.ได้รับเวทนากลั่นกล้าจากโรคร้าย เช่น โรคเกี่ยวกับศีรษะเป็นต้น ๒.เสื่อมทรัพย์ที่ได้โดยยาก ๓.สรีระสลาย เช่น โดนตัดมือเป็นต้น ๔.ป่วยหนักด้วยโรคต่างๆ เช่น อัมพาต มีตาข้างเดียว เปลี้ยง่อย เป็นโรคเรื้อน เป็นต้น ๕.เป็นบ้า ๖.ต้องโทษจากพระราชา เช่น โดนถอดยศลดตำแหน่ง เป็นต้น ๗.ถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง ๘.ถึงความย่อยยับแห่งเครือญาติ ไร้ที่พึ่งพำนัก ๙.โภคทรัพย์ที่มีอยู่จะเสื่อมสูญพินาศ ๑๐.ไฟไหม้ และหลังจากตายไปแล้วก็ต้องตกนรก             

จากข้อมูลทั้งหมด จะเห็นว่า..กรรมย่อมตกกับผู้กระทำอย่างสาสมไปทุกภพทุกชาติ เพราะขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา แม้ท่านมีบุญมากขนาดนี้ ในชาติสุดท้ายท่านก็ยังต้องรับผลกรรมถึงเพียงนี้เลย ดังนั้น บุคคลธรรมดา ๆ ที่บุญบารมีน้อยกว่าท่าน ก็ลองคิดดูเถอะว่า..จะได้รับกรรมหนักกว่าท่านขนาดไหน !!!

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจสงสัยต่อว่า แล้วถ้าอยากจะช่วยพระศาสนาอย่างบริสุทธิ์ใจจริง ๆ  จะต้องทำอย่างไร ???

ตรงนี้ขอตอบว่า..ชาวพุทธก็ต้องทำตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน ซึ่งพระองค์ทรงสอนให้เราไม่ว่าร้ายใครเลย เพราะมันเป็นบาป !!!

จากประโยคนี้ บางคนอาจเถียงในใจว่า แล้วถ้าพระทำผิดล่ะ เราจะปล่อยไว้เฉย ๆ ให้ท่านอยู่เหนือกฎหมายงั้นหรือ ?

ข้อนี้..พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงหาแนวทางแก้ไขโดยบัญญัติพระวินัยไว้สำหรับตรวจสอบพระภิกษุผู้กระทำผิดแล้ว อีกทั้งยังบัญญัติบทลงโทษเอาไว้ด้วย ซึ่งถ้าพระทำผิดจริงๆ พระองค์ก็จะให้หมู่สงฆ์เป็นผู้จัดการกันเองให้เสร็จก่อน โดยไม่ให้คนธรรมดาอย่างเราๆ เข้าไปเกี่ยวข้อง และถ้าทางสงฆ์สรุปออกมาแล้วว่า ท่านผิดร้ายแรงถึงขั้นปาราชิก ก็ค่อยสึกออกมาเข้าสู่ขั้นตอนของกฎหมายบ้านเมืองต่อไป

มาดูอย่างกรณีของพระธัมมชโย นับว่าท่านไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างที่สุด เพราะท่านเป็นแค่ผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น ยังไม่ได้เข้าสู่ขั้นตอนการพิสูจน์เลยว่าท่านผิดหรือไม่ แต่กลับก็มีบางคนออกมาให้ข่าวสร้างกระแสกดดันให้คนนั้นคนนี้มาจับท่านสึก หรือปลดท่านออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งการกระทำที่ผิดขั้นตอนขนาดนี้ ช่วยตอบหน่อยว่ายุติธรรมหรือไม่ ???

แล้วที่สำคัญหากมีพระรูปใดรูปหนึ่งทำผิด แม้ศีลท่านจะด่างพร้อย แต่ท่านก็ยังมีศีลมากกว่าเราที่ไม่ได้บวช ซึ่งถ้าไปด่าท่าน ยังไงเราก็บาปหนักอยู่ดี หรือแม้ด่าแล้วจะได้ความสะใจกลับมา แต่ต้องแลกด้วยการชดใช้กรรมอย่างสาหัสต่าง ๆ นานา เหมือนใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต พยสนสูตร ได้กล่าวถึงครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงชี้โทษให้แก่พระภิกษุที่ด่าเพื่อนภิกษุด้วยกัน หรือด่าว่าพระอรหันต์ว่า..จะเข้าถึงความหายนะ ๑๐ อย่าง อันได้แก่...

๑.ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ  ๒.เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ๓. สัทธรรมที่มีอยู่ย่อมไม่ผ่องแผ้ว ๔.จะหลงตัวเองว่าได้บรรลุในสัทธรรมทั้งหลาย ๕.จะไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์ ๖. ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง ๗. ย่อมป่วยเป็นโรคอย่างหนัก ๘. เป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน ๙.จะหลงตาย คือ ตายแบบไม่รู้ตัว ๑๐. เมื่อตายไปย่อมไปอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

จะเห็นว่า แม้พระภิกษุซึ่งมีศีลระดับเดียวกันด่ากันเองยังบาปหนัก จนต้องเข้าถึงความหายนะกันขนาดนี้ ดังนั้นเราในฐานะเป็นคนธรรมดา ๆ ที่รักษาศีลบ้างไม่รักษาศีลบ้าง ถ้าไปด่าว่าพระภิกษุจะบาปหนักขนาดไหน ก็ต้องลองคิดดูกันเอาเอง  !!!

จากการรับข้อมูลมาถึงตรงนี้ หลายคนก็คงตัดสินใจได้แล้วว่า  จะเลือกด่าพระต่อไปหรือไม่ ???

แต่หลายคนอาจยังไม่หายคาใจและคิดว่า..ยังไงการด่าพระก็ยังเป็นขบวนการที่เข้ามาช่วยพระศาสนาอยู่ดี !!!

ถ้ายังไม่เคลียร์ข้อนี้ เชิญคลิกเพื่อหาคำตอบในบทต่อไป

รออะไร..คลิกเลย
http://hot-answer.blogspot.com/2016/06/blog-post_70.html




คลิกอ่านเรื่อง การด่าพระ เป็นขบวนการช่วยศาสนา

หรือเป็นขบวนการทำลายศาสนากันแน่ ???


คลิกเลย




วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ทำไม..วัดพระธรรมกายปฏิเสธแพทย์จาก DSI ?


ทำไม..วัดพระธรรมกายปฏิเสธแพทย์จาก DSI ?

จากการที่ DSI แจ้งมาว่า จะนำแพทย์จาก รพ.ตำรวจมาตรวจพระธัมมชโย แต่ทางวัดพระธรรมกายกลับปฏิเสธแพทย์จาก DSI

ก่อนที่ผมจะขอออกความคิดเห็นส่วนตัวตรงจุดนี้ ผมอยากให้ผู้อ่านดู Facebook ของแพทย์ รพ.ตำรวจท่านหนึ่ง








จากข้อความ Facebook ข้างบน ผมว่าผู้อ่านทุกคนคงตัดสินเองได้ แต่โดยส่วนตัวผมเองรู้สึกเป็นห่วงว่า..แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า แพทย์ที่ DSI จะส่งมาทุกคน จะมีจรรยาบรรณแพทย์ ไม่มีอคติ และมีจิตเมตตากับเพื่อนมนุษย์ทุกคนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ???



ในกรณีนี้ก็น่าให้ความเห็นใจกับทางวัดพระธรรมกายนะครับ...

เพราะไม่ใช่ว่าวัดไม่ให้ความร่วมมือกับ DSI แต่ในเมื่อ DSI อาจมีความไม่น่าไว้วางใจเกิดขึ้น วัดก็ต้องระแวงระวังเป็นธรรมดา...

ที่สำคัญ..วัดคงเกิดอาการเข็ดหลาบกับขบวนการไม่ยุติธรรมที่เคยเจอในปี 42 ก็คงไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก เหมือนครั้งเหตุการณ์ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2542 ที่พระธัมมชโยอาพาธหนัก ไอจนมีเสมหะปนเลือด จึงขอเลื่อนการพบพนักงานสอบสวนไปก่อน ซึ่งครั้งนั้นทางวัดได้กระทำอย่างถูกต้อง คือ ให้คณะแพทย์ที่ตรวจรักษาพระธัมมชโยออกใบรับรองแพทย์เพื่อยืนยันว่าป่วยจริง แต่พนักงานสอบสวนกลับไม่เชื่อ จึงได้พาแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ 2 นายมาตรวจอาการที่วัด จากนั้นแพทย์จาก รพ.ตำรวจได้ยืนยันคำวินิจฉัยว่า พระธัมมชโยสามารถเดินทางไปสอบสวนได้ และก็บังคับให้ท่านไป แต่วันรุ่งขึ้นอาการป่วยของพระธัมมชโยกลับทรุดหนักกว่าเดิมมาก ถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด ต้องพักรักษาตัวนานถึง 4 เดือน



จากการกระทำครั้งนั้น...ไม่มีผู้ใดยอมออกมารับผิดชอบต่อการวินิจฉัยที่ผิดพลาดของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจทั้ง 2 ท่านนั้นเลย !!!



จากประวัติศาสตร์นี้เอง ได้สร้างความสะเทือนใจอย่างยิ่งให้กับบรรดาลูกศิษย์มาก และที่น่าห่วงมากไปกว่านั้น ในภาวะปัจจุบัน พระธัมมชโยท่านป่วยหนักกว่าเมื่อปี 42 มาก แถมเป็นพระชราที่อายุมากถึง 72 ปีแล้ว อย่างนี้..จะให้คณะศิษย์ไว้ใจ DSI ได้อย่างไรว่า..ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยอีก ?


         และที่รู้สึกสลดใจเป็นที่สุด จากเหตุการณ์ในครั้งปี 42 คณะแพทย์ผู้ออกใบรับรองแพทย์ให้พระธัมมชโย ก็โดนสั่งพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม  1 เดือน แพทย์ทั้ง 2 ท่าน ทั้งๆ ที่ได้ทำตามจรรยาบรรณทุกอย่าง


จากความไม่เป็นธรรมนี้เอง คณะแพทย์ที่ออกใบรับรองแพทย์ให้พระธัมมชโยจึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง จนสุดท้ายศาลปกครองมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 1175/2547 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2547 ว่า “คำสั่งของแพทยสภาดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนคำสั่งของแพทยสภา”


จากการที่ผมติดตามข่าวเรื่องนี้มาโดยตลอด ผมอยากถามผู้อ่านว่า..สงสัยเหมือนผมไหมว่า..ทำไมตอนแรก DSI ยอมมาวัด และก็มาเห็นอาการป่วยของพระธัมมชโยกับตาตัวเอง และก็ออกข่าวยืนยันว่าท่านป่วยด้วย แต่ทำไมวันนี้ ถึงบอกว่าท่านไม่ป่วย !!!

ตรงนี้..ไม่ทราบว่ามีเจตนาอะไรแอบแฝง หรือคดีนี้มีใบสั่งหรือตั้งธงไว้แล้วใช่หรือไม่ครับ ???

ดูจากคลิปชัดๆ






ประมวลภาพการทำงานของ DSI ดูแล้วคุณจะทึ่ง







วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เคลียร์คัต..ทำไมวัดปฏิเสธ DSI


เคลียร์คัต..คำตอบที่กำลังเป็นประเด็นที่สุด..ทำไมวัดปฏิเสธ DSI !!!

ถ้าเป็นคุณ..หากรู้ว่ากระบวนการยุติธรรม อาจไม่ยุติธรรม คุณจะเข้าสู่ขบวนการนั้นหรือไม่ ???




         
ตามที่ พันตำรวจเอกไพสิฐ  วงศ์เมือง อธิบดี DSI ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า จะให้แพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจมาตรวจอาการของพระธัมมชโย หากอาพาธจริง..ก็ยินดีเข้ามาแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดพระธรรมกายนั้น ทางคณะศิษยานุศิษย์นำโดย นายองอาจ  ธรรมนิทา ออกมาแถลงการณ์


















อยากให้สังเกตุความผิดปกติของขบวนการดังนี้

       1.หากทางDSIมีท่าทีอย่างนี้มาตั้งแต่ต้น เรื่องก็คงจบไปนานแล้ว แต่ขณะนี้การแสดงออกของDSIที่ผ่านมาทำให้คณะศิษยานุศิษย์ไม่เชื่อมั่นในความเป็นกลางของDSI

2.ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ทางวัดจะมีหนังสือไปถึงDSIแจ้งว่าหลวงพ่อธัมมชโยอาพาธโดยมีใบรับรองแพทย์ยืนยันโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางถึง 3  ท่าน และแพทย์ผู้ตรวจก็ได้เดินทางไปรอให้ข้อมูลรายละเอียดที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่ยอมให้คณะแพทย์เข้าไปให้รายละเอียดต่อที่ประชุมพนักงานสอบสวน แม้ทางวัดขอให้ส่งแพทย์จากหน่วยงานกลางมาตรวจอาการพระเทพญาณมหามุนีที่วัด แต่ทางDSIก็ปฏิเสธและไปยื่นขอหมายจับที่ศาลทันทีถึง 2 ครั้ง


      3.มีการออกข่าวว่า ใบรับรองแพทย์ของพระเทพญาณมหามุนีเป็นเท็จ แม้ภายหลังทางแพทยสภาจะออกมายืนยันว่าเป็นใบรับรองแพทย์ที่ถูกต้อง ก็ยังมีความพยายามจะเล่นงานแพทย์ผู้ออกใบรับรองแพทย์ โดยส่งเจ้าพนักงานสอบสวนของDSIไปสอบสวนที่โรงพยาบาลค่ายภานุรังษี จังหวัดราชบุรี ว่าการออกใบรับรองแพทย์ผิดขั้นตอนของโรงพยาบาลหรือไม่ พฤติกรรมการแสดงออกของพนักงานสอบสวนในคดีนี้ ทำให้แพทย์ผู้ตรวจรักษาเกิดความหวาดกลัว แม้จะปฏิบัติหน้าที่ตรวจรักษาผู้ป่วยตามจรรยาบรรณแพทย์ก็อาจเกิดความเดือดร้อนได้




       4.คณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ของDSI ได้เชิญนายมโน เลาหวนิช ซึ่งเป็นคู่กรณีผู้กล่าวโจทก์พระเทพญาณมหามุนี เข้าร่วมประชุมกับคณะพนักงานสอบสวนและเป็นผู้ชี้นำวิธีการจัดการกับพระเทพญาณมหามุนีให้พนักงานสอบสวน ทำให้คณะศิษยานุศิษย์รู้สึกว่าคณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ มีจุดยืนที่ทำให้สงสัยได้ว่าไม่เป็นกลาง ตั้งตนเป็นคู่ปรปักษ์กับพระเทพญาณมหามุนี




       จุดนี้..ขอถามว่า มโน เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ ทำไม DSI ถึงเอามโนเข้าประชุมหาลือเพื่อจัดการกับพระธัมมชโย ทั้งๆที่ มโน เป็นฝั่งตรงข้ามกับพระธัมมชโยอย่างชัดเจน DSIมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ ???
แผนการณ์ดึงสมเด็จช่วงมาเกี่ยวด้วยนี้  เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัวใช่หรือไม่ ???

       5.DSIได้ทำหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอกำลัง จำนวน 4 กองร้อย หรือ 600 นาย พร้อมอาวุธครบมือ รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ โดยDSIรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เมื่อรวมกับกำลังของDSI ซึ่งปรากฏตามรายงานข่าวของสื่อมวลชนว่ามีรถหุ้มเกราะพร้อมออกปฏิบัติการ และกำลังของเจ้าหน้าที่หน่วยอื่น ดูประหนึ่งว่าDSIกำลังทำสงครามกลางเมือง โดยยกกำลังนับพันนายพร้อมรถหุ้มเกราะและเฮลิคอปเตอร์บุกเข้าวัดในพระพุทธศาสนา เพื่อจับกุมพระภิกษุชรา อายุกว่า 72 ปีที่กำลังอาพาธหนัก ที่เป็นเพียงผู้ต้องหา ยังไม่ได้สอบสวน และยังไม่ได้ตกเป็นจำเลยในคดีเลย
เรื่องนี้สร้างความสะเทือนใจต่อคณะสงฆ์ทั่วประเทศ ศิษยานุศิษย์พระเทพญาณมหามุนี และชาวพุทธทั่วโลกเป็นอย่างมาก มีองค์กรพุทธทั่วโลกส่งหนังสือมาทักท้วงการทำงานของDSIยังท่านนายกรัฐมนตรีมากมาย ปรากฏเป็นข่าวไปทั่วโลก สร้างความเสื่อมเสียแก่ภาพลักษณ์ของประเทศชาติอย่างร้ายแรง จนพลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ต้องออกมาปรามไม่ให้DSIใช้มาตรการรุนแรง




          6.เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2542 เคยเกิดกรณีที่หลวงพ่อธัมมชโยอาพาธ ไอมาก มีเสมหะปนเลือด โดยมีใบรับรองแพทย์ จึงขอเลื่อนการไปพบพนักงานสอบสวน แต่พนักงานสอบสวนไม่เชื่อ จึงได้พาแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ 2 นายมาตรวจอาการที่วัดเสร็จแล้ว แพทย์โรงพยาบาลตำรวจวินิจฉัยว่า ท่านไปได้ และบังคับให้ท่านออกเดินทางไปกับพนักงานสอบสวน วันรุ่งขึ้นอาการของหลวงพ่อธัมมชโยจึงทรุดหนัก อาเจียนเป็นเลือด ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 1 เดือน และกลับมารักษาตัวที่วัดอีก 3 เดือนอาการจึงดีขึ้น โดยไม่มีใครออกมาแสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังได้เล่นงานแพทย์ผู้ออกใบรับรองแพทย์โดยแพทยสภาสั่งพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม  1 เดือน แพทย์ทั้ง 2 ท่าน จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง จนสุดท้ายศาลปกครองมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 1175/2547 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2547 ว่า “คำสั่งของแพทยสภาดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนคำสั่งของแพทยสภา”




       จากการกระทำตรงนี้ จะเห็นว่า..ทำไม..ไม่มีผู้ใดรับผิดชอบต่ออาการเจ็บป่วยร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับหลวงพ่อธัมมชโย จากการวินิจฉัยที่ผิดพลาดของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจทั้ง 2 ท่านนั้นเลย !!!

       7.พฤติกรรมของพนักงานสอบสวนในคดีนี้มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 17 ปี ก่อนมาก คณะศิษยานุศิษย์จึงไม่มั่นใจในความเป็นกลางของพนักงานสอบสวนในคดีนี้

       8.คดีพิเศษที่ 27/2559 นี้ เป็นการดำเนินคดีที่ซ้ำซ้อนกับคดีพิเศษที่ 146/2556 พยานหลักฐานที่ใช้ในการดำเนินคดีก็นำมาจากการสอบสวนพยานหลักฐานในคดีที่ 146/2556 การดำเนินคดีที่ 27/2559 นี้ จึงไม่ถูกต้องชอบธรรมตั้งแต่ต้น เหมือนการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อ ๆ ไปก็ผิด ทำให้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด

     ดังนั้น..คณะศิษยานุศิษย์จึงขอแสดงจุดยืนเรียกร้องให้ทางDSIรวมสำนวนการสอบสวนคดีที่ 27/2559 เข้ากับคดีที่ 146/2556 และสอบสวนพยานหลักฐานด้วยความโปร่งใสเป็นธรรม เพื่อเป็นมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องดีงามของสังคมสืบไป
        
          ถ้าเจออย่างนี้ ขอถามอีกครั้งว่า..ถ้าเป็นคุณ..หากรู้ว่ากระบวนการยุติธรรมอาจ “ไม่ยุติธรรม” คุณจะเข้าสู่ขบวนการนั้นหรือไม่ ???